เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐหมายถึงผู้ที่มีปัญญา เวลาเราชาวพุทธ เห็นไหม เราถือพุทธศาสนา เราบอกพุทธศาสนามันมีเรื่องให้ต้องใช้ปัญญาเยอะมาก ต้องมีระดับของมัน

ในทางสังคม ถ้าเราไปวัดไปวาเป็นที่พึ่ง ทางรัฐบาล ทางสังคมจะบอกเลยนะให้เราเข้าวัดเข้าวากัน เข้าวัดเขาวานี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยนะ คนหลบร้อนมาพึ่งเย็นได้ แต่เราเข้าวัดเข้าวาไปแล้ว ในพุทธศาสนา เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า

“ในศาสนานี้เหมือนกับห้างสรรพสินค้า”

ในห้างสรรพสินค้ามันมีสินค้าตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไป จนถึงสินค้าที่มีคุณค่ามาก ฉะนั้น เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้ากัน วัยรุ่นบอกไปตากแอร์ เอาความร่มเย็นเป็นสุขเฉยๆ แต่เรื่องสินค้านั้น วัยรุ่นไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีปัจจัยจะซื้อข้าวในนั้นได้หรอก แต่พวกเรานี่ทำหน้าที่การงาน เรามีเงินมีทองของเรา เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้านั้น เราจะแลกเปลี่ยนสินค้านั้นออกมาได้

เราเข้าวัดเข้าวาก็เหมือนกัน เห็นไหม ไปวัดเป็นที่หลบเย็น เป็นที่พักที่อาศัย ถูกต้อง แต่เราไปเข้าวัดเข้าวาแล้วเราจะเอาประโยชน์สิ่งใด? ไปวัด ถ้าไปเพื่อความร่มเย็น อนาถบิณฑิกเศรษฐีเลี้ยงลูกชายมา แล้วลูกชายไม่สนใจในศาสนา จ้างให้ไปวัดก่อน ไปนอนร่มเย็นเป็นสุขไง ไปนอน กลับมาแล้วก็เอาตังค์ กลับมาแล้วก็เอาตังค์

สุดท้ายแล้วบอกว่า คราวนี้จะให้ตังค์เพิ่มเป็น ๒ เท่า ถ้าเข้าไปวัดแล้วให้ไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการด้วย แล้วจำคำพูดนั้นมา จำคำพูดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมา พอฟังคำพูดมันจะเอาเนื้อความไง ต้องจับเอาเนื้อความ เห็นไหม พอจับเอาเนื้อความมันได้ความปรับปรุง เป็นพระโสดาบันเลย

กลับไปถึงบ้านนะพ่อรอจ่ายตังค์ วันนี้ไม่มาเอาตังค์ ไม่มาเอาตังค์ เพราะคุณค่าของธรรมมันมีมากกว่าคุณค่าของเงินมหาศาลเลย มีคุณค่ามากขนาดนั้น ไม่กล้าไปเอาตังค์นะอายพ่อ อายพ่อ ไปเพราะคนมันได้คิด พ่อเลี้ยงเรามา เราเกิดมานี่พ่อแม่เลี้ยงเรามานะ เลี้ยงเรามาแล้วเรายังพึ่งตัวเองไม่ได้ จนพ่อแม่ต้องใช้อุบายให้ไปวัด ไปวัดก็ไปนอนร่มเย็นเป็นสุข ไปเที่ยวเพลิดเพลินไปทางโลก พอไปวัดก็ไปนอนตามร่มไม้ ร่มเย็นเป็นสุข ไปแล้วได้ตังค์อีกด้วย

นี่ขณะที่ไปเอาตังค์จิตใจมันยังไม่เปิด เห็นไหม แล้วพอให้ตังค์ พ่อนี่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน เข้าใจไง เข้าใจว่ามันจะพัฒนาอย่างไร จิตของคนมันเริ่มสนใจ จากเราเร่าร้อนจากสังคมไปพักผ่อนในวัด โอ้โฮ.. ร่มเย็นเป็นสุขนะ อ๋อ.. วัดมีคุณประโยชน์อย่างนี้เอง วัดมีคุณประโยชน์อย่างนี้เอง พอคนมันมากเข้าๆ สังคมมันก็เหมือนสังคมจากโลกเหมือนกัน

สังคมโลกมันเบียดเบียนกัน เห็นไหม เขาก็ไปวัดไปวาเพื่อไปพักไปผ่อน ไปเอาความร่มเย็นเป็นสุขกัน แต่ในสังคมของวัด พอวัดมีคนมากขึ้นมันก็เป็นสังคมๆ หนึ่ง สังคมๆ หนึ่ง มันก็มีการกระทบกระทั่งกันเป็นอีกสังคมหนึ่ง แล้วเราจะหลบที่ไหนล่ะ? คราวนี้เราจะหลบที่ไหน? เราหลบจากสังคมเข้ามาพึ่งพาอาศัยในวัด ในวัดก็เป็นสังคมอีกสังคมหนึ่ง แล้วเราจะไปหลบเอาที่พึ่งที่ไหน? มันก็ต้องหลบเอาที่พึ่งในหัวใจของเราไง

ในหัวใจของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่”

ในสังคมของวัด เห็นไหม เราเข้าไปในวัดแล้ว เรามาวัดแล้ว หลวงปู่ฝั้นบอกไปวัดให้ไปวัดใจ ข้อวัตรปฏิบัติ.. วัตรปฏิบัติไม่ใช่วัตรดาษดื่น วัตรปฏิบัติมันปฏิบัติมาจากไหน? ปฏิบัติมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจเรามีความศรัทธา มีความเชื่อ มันอยากทดสอบ ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ สักแต่ว่าทำ เห็นไหม

เขาทำอาหารกันในครัว อาหารของเขา เขาพัฒนาฝีมือของเขา จนฝีมือเขานี่เป็นแม่ครัวที่มีฝีมือสุดยอดมาก กับเราไปตลาดเราซื้ออาหารใส่ถุงทุกวันเลย เราก็ซื้อได้ทั้งนั้นแหละ เราจะเอาอาหารสุดยอดขนาดไหนเราก็ซื้อได้ แต่ฝีมือเราไม่มีเลย เราทำอาหารไม่เป็น แต่เราซื้อใส่ถุงนั้นได้นะ ใจก็เหมือนกัน เห็นไหม ใจของเราถ้าเราได้ปฏิบัติของเรา พอได้ปฏิบัติของเรา เหมือนกับเข้าครัว เราฝึกหัด เราทำอาหารของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราไปวัดไปวาแล้วนี่เราจะรักษาใจเราไหม? เราจะพัฒนาใจของเราไหม? ถ้าเราไม่พัฒนาใจของเรา ก็เหมือนกับเราไปตลาด เราก็ซื้ออาหารถุงก็ได้ ไปวัดทุกคนมีสิทธิ์เหมือนกัน สิทธิของวัตถุมีค่าเท่ากัน แต่สิทธิของหัวใจมันพัฒนาได้ นี่ลูกชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขณะที่ไปวัดแล้วมาเอาตังค์นี่มีความระลึกถึงคุณนะ อ้าว.. ได้ตังค์ด้วย พ่อเป็นคนดี พ่อให้ไปวัด พ่อยังจ่ายตังค์ด้วย แต่พอใจมันพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม อายพ่อไม่กล้าไปเอาตังค์

อายนะ อายเพราะอะไร? เพราะจิตมันมีความสำนึกใช่ไหม? มีความสำนึกว่าพ่อเราเลี้ยงเรามานะตีนเท่าฝาหอย ลูกเราตีนเท่าฝาหอยเลี้ยงมันมานะ พอโตขึ้นมามันยังยืนเองไม่ได้ มันยังไม่เข้าใจชีวิตของมันเลย แล้วอะไรเป็นที่พึ่งไม่เป็นที่พึ่งมันก็ยังไม่รู้ของมันนะ อยู่กับโลกเขานี่ โลกมันเร่าร้อน มีเงินมีทองในสังคมเขาก็ว่าเราเป็นคนดี เวลาตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาเขาก็ไม่สนใจเรา นี่แล้วตัวเองจะเอาที่พึ่งที่ไหน?

ถ้าตัวเองเอาที่พึ่งที่ไหนนะ มันต้องพึ่งใจของเรา ถ้าพึ่งใจของเรา เราไม่รู้จักใจของเรา เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เห็นไหม นี่ไปฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ย้อนกลับมาที่ใจ พอย้อนกลับมาที่ใจ พอใจมันพัฒนา ใจมันเปิดใจขึ้นมานี่อายพ่อ อายมากเลยพอมีความสำนึก

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องรักษาใจเรานะ พุทธศาสนา เห็นไหม นี่อารามิก คนที่ไม่มีเรือน เขาอยู่วัดอยู่วากัน พวกทรงศีล เราเป็นคนครองเรือน เรามีเรือนของเรา เรามีสมบัติส่วนตัวของเรา พระจริงๆ ไม่มีสมบัติส่วนตัวนะ พระมีสมบัติส่วนตัวแค่บริขาร ๘ เท่านั้น สิ่งของในสงฆ์เป็นของสงฆ์ เป็นของส่วนกลาง ของส่วนกลางทุกคนมีสิทธิ์ใช้เสมอภาคกัน แต่สิทธิ์การใช้เสมอภาคก็ต้องเป็นธรรม

เป็นธรรมหมายถึงว่าเราใช้โดยความประหยัดมัธยัสถ์ ความประหยัดมัธยัสถ์เป็นเครื่องแสดงออกของคนดี ถ้าหัวใจมันดี ของที่ใช้นั้นมันใช้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์เพราะมันดีมาจากใจ ถ้าใจมันไม่ดี ของนั้นจะมีมากขนาดไหนมันก็กักตุน เพราะมันกลัวมันจะไม่มีใช้ เห็นไหม เพราะใจมันบกพร่อง จิตใจบกพร่อง ของจะมีมากขนาดไหนมันก็บกพร่องที่ใจของเขา ถ้าใจของเขาดีขึ้นมา เห็นไหม ของจะมีมากมีน้อยมันแบ่งเจือจานกัน

นี่ไงอารามิก ผู้ที่มีศีลมีธรรม อยู่ในวัดในวา เห็นไหม อยู่ในวัดในวามันอาศัยกัน เกื้อกูลกันเป็นสังคมๆ หนึ่ง สังคมนี้.. ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ แล้วสังคมในหัวใจของเราล่ะ? ธรรมะของเราได้ครบกันหรือยัง?

อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา นี่มงคลชีวิตนะ อย่าคบคนพาล คนพาลจากข้างนอก คนพาลจากข้างใน คนพาลคือความคิดไง คิดดีก็คบมิตรดี คิดชั่วก็คบมิตรชั่ว พาลจากข้างนอก จะดูนิสัยสันดานเขาให้ดูเขาคบเพื่อน เพื่อนของเขาเป็นโจร เป็นมหาโจร ไอ้คนนี้มันคิดคบแต่โจร คนที่คบบัณฑิตมันคบแต่คนดีๆ คนนี้มีการใฝ่ดี นี่มันแยกผิดแยกถูกได้ว่าคนนี้ดีหรือคนนี้ไม่ดี

แต่คนเรามันเป็นคราวนะ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา คนมีความจำเป็นขึ้นมา เวลาความจำเป็นตามหน้าที่นั้นไม่ใช่นิสัยของเขา เขาทำตามความจำเป็นของเขา ไอ้อย่างนี้เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม แต่ไอ้เรื่องที่ทำซ้ำทำซาก ทำจนเป็นนิสัย อันนั้นมันคบมิตรชั่ว คบมิตรชั่วนี่จิตใจของเขาฝักใฝ่ไปทางนั้น ถ้าคบมิตรดี เห็นไหม มิตรดีชวนแต่ทำความดี

อย่างเช่นเราคบบัณฑิต คนมาวัดมาวานี้บัณฑิตนะ เวลาเขาทำโรงทานกัน เขาทำโรงทานกันเพื่อใคร? ก็เพื่อบัณฑิต เห็นไหม เราไปวัดไปวา เราทำบุญกุศลนี่บัณฑิต คนฝักใฝ่ดีนี่เราคบบัณฑิต เราคบแต่สิ่งที่ดีๆ คบกับความคิดที่ดี ความคิดที่เสียสละ ความคิดที่เป็นคนดีขึ้นมา การเสียสละมันต้องมีวัตถุสิ่งของแล้วเสียสละออกไป เราจะได้สิ่งใดมา?

เราเสียสละออกไปแล้วเราจะได้สิ่งใดมา เราไม่ได้สิ่งใดๆ มา มันได้บุญกุศลมา บุญกุศลคืออะไร? บุญกุศลคือสมบัติพัสถาน สมบัติพัสถานนี้คือบุญอันหนึ่ง ที่มันเป็นวิบากที่เราได้ผลตามนั้น แต่บุญกุศลของเราในปัจจุบัน บุญกุศลคือความสุขใจ บุญกุศลในครอบครัวของเรายิ้มแย้มแจ่มใส ครอบครัวของเรามีความร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวของเราหายากที่สุดเลย

เงินทองมันหาได้มากขนาดไหน แต่ครอบครัวของเราถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวนี่สามีภรรยารักใคร่กัน เข้าใจกัน อันนี้บุญมากๆ เลย เวลาเราแต่งงานกันนะเหมือนล้วงเบอร์ เห็นไหม ใครล้วงเบอร์ที่ดีนะได้คู่ครองที่ดี ใครล้วงเบอร์ที่ไม่ดีมา ล้วงเบอร์มานี่เราจะมีความทุกข์ไปตลอดชีวิตเลย

นี่สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศล ในครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่คือบุญ บุญคือความสุขใจ! บุญไม่ใช่สิ่งที่หามาแล้วจะหามาทับถ่วงเรา คนฉลาดมีเงินมีทอง เขาใช้เป็นประโยชน์ของเขา คนโง่นะ มีเงินมีทองขนาดไหน เงินทองมันทำลายคนโง่ ทำลายจริงๆ เงินทองมันทำลายเรานะ แต่ถ้าจิตใจมันดีเงินทองจะเป็นสิ่งที่ดีของเรา เห็นไหม

นี่เราชาวพุทธนะ ไปวัดไปวาไปทำไม? ไปวัดไปวา วัดที่มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง มันร่มเย็นเป็นสุขเข้าไป บารมีธรรมมันมีอยู่ ของมันมีอยู่ เห็นไหม ดูสิแต่โบราณเรา รุกขเทวดาเขาจะอยู่ตามต้นไม้เพื่อเขาอาศัยเป็นวิมานอยู่ เทวดาอยู่บนต้นไม้นั้น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มีครูบาอาจารย์เรามันมีคนคุ้มครองนะ มันมีสิ่งที่เป็นความร่มเย็นเป็นสุขนะ ความร่มเย็นเป็นสุขอันนั้นเรามองไม่เห็น แต่เราสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกนะ ความรู้สึกนี่สัมผัสได้เลย ที่นี่ร้อน ที่นี่เย็น ที่นี่อบอุ่น ที่นี่เดือดร้อน มันสัมผัสได้ จิตวิญญาณมันสัมผัสได้ สัมผัสคุณงามความดี.. กลิ่นของศีลหอมทวนลม มันจะเป็นสิ่งที่ดีๆ เห็นไหม

ศาสนาพุทธ พุทธศาสนานี่ศาสนาของความรู้สึก ศาสนาของหัวใจ แต่มันต้องอาศัย นกมันยังมีรวงมีรัง เห็นไหม คนต้องมีที่พึ่งอาศัย พระก็มาจากมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นวิหาร เป็นกุฏิ พระป่าเราก็อยู่กระท่อมห้อมหอ หลวงตาบอกเป็นวิมาน วิมานเพราะมันต้องดูแลรักษาไง

วิมานของเราเราก็จะประดับประดาด้วยทองคำ แล้วก็คอยนอนสะดุ้ง โจรมันจะมาปล้น จะนอนให้หลับมันไปห่วงทองคำนะ แต่เรานอนกระท่อมห้อมหอ จิตใจเราเป็นทองคำ ทองคำเป็นความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเราเป็นทอง ความรู้สึกของเราเป็นธรรม ความรู้สึกในหัวใจของเรา ไม่มีใครมาปล้นมาชิง นอนที่ไหนก็มีความสุข ความสุขคือใจเราเป็นธรรม เห็นไหม

นี่สิ่งนี้เป็นบุญกุศล เราสร้าง เราไปวัดไปวานี้ชาวพุทธ ชาวพุทธต้องฉลาด ฉลาดกับตัวเอง ฉลาดกับกิเลสของเรา อย่าให้กิเลสมันข่มขี่ ฉลาดกันข้างนอกไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ความฉลาดข้างนอกมีแต่คนที่สร้างบารมีธรรม เห็นไหม นี่พระโพธิสัตว์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ชักจูง เป็นผู้ทำในสิ่งที่ดี พระโพธิสัตว์ ถึงที่สุดแล้วนะต้องประพฤติปฏิบัติจนสิ้นกิเลสไป

นี่ก็เหมือนกัน เรามีจิตใจ เราเกิดเป็นชาวพุทธแล้ว เรามีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง พุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะ! คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อกาลิโกมันมีอยู่ตลอดไป เพียงแต่เราจะทำขึ้นมาได้หรือไม่ได้ วัตถุนี้เรามีเงินมีทอง เราไปซื้อแสวงหามาได้.. สติปัญญา ความสงบร่มเย็นของหัวใจนี่ใครแสวงหามา มันลอยมาจากฟ้าไง เวลาทำบุญกุศลขึ้นมา เวลามันได้ฟลุ๊คๆ เวลาใจดีทีหนึ่ง ใจทุกข์ทีหนึ่ง นี่มันควบคุมไม่ได้ พอควบคุมไม่ได้เราจะเผชิญกับมันไหม?

ดูสิเขาทำไร่ไถนา เห็นไหม เขารอฟ้ารอฝนกัน เขารอตามธรรมชาติที่จะมาช่วยเหลือเขา ช่วยเหลือเขานี่ก็เป็นบุญกุศลนะ ถ้าเป็นสิ่งที่สังคมนั้นไม่ผิดศีล ไม่ทุศีล สังคมนั้นดีนะ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ถ้าสังคมนั้นเขาทำแต่บาปแต่กรรมกันนะ สังคมนั้นเขาจะทุกข์ๆ ยากๆ ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเรา เวลาบุญกุศลเกิดขึ้นมานี่มีความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา อันนี้มันเป็นวิบาก มันเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นโดยอามิส แต่ถ้าเราศึกษาธรรมขึ้นมา เห็นไหม เราตั้งสติของเรา เราใช้คำบริกรรมของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา เราจะเอาความร่มเย็นเป็นสุขในอาณัติ ในการประพฤติปฏิบัติ ในการชำนาญในวสี ในการควบคุมของเรา

เราทำของเราได้! ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นมาจากน้ำมือเราทั้งนั้น กรรมคือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำสิ่งที่ดีๆ มันจะพ้นจากมือเราไปได้อย่างไร? มือทำนะ ไอ้นี่มือทำ แต่การภาวนามันใช้จิตทำ สติปัญญามันมาจากไหน? มันมาจากจิตทั้งนั้นแหละ

“สติปัญญาเกิดจากจิตไม่ใช่จิต”

ถ้าสติปัญญามันเกิดจากจิต เรามีจิตทุกคน ทุกคนมีจิต ทุกคนมีชีวิต ทำไมทุกคนไม่มีปัญญาเหมือนกันล่ะ? ทำไมบางคนโง่เขลา ทำไมบางคนมีเชาว์ปัญญามาก มันเกิดมาจากไหนล่ะถ้ามันไม่เกิดมาจากการฝึกฝน ถ้าคนไม่ฝึกฝน ปัญญาไม่เกิด นักกีฬาที่เขาฝึกฝนขึ้นมา เขาจะมีปัญญาขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราทำสติของเราขึ้นมานะ ตั้งสติ ตั้งสมาธิขึ้นมา แล้วใคร่ครวญมัน ชีวิตนี้ใคร่ครวญมัน อุปสรรคข้างหน้านี้มันคืออะไร? อุปสรรคข้างหน้ามันจะแก้ไขอย่างไร? ถ้ามันพยายามตะบี้ตะบันจะคิด อุปสรรคนี้เราจะเอาหัวชนฝาดันมันไป มันไปไม่ได้หรอก.. ตั้งสติมัน! ตั้งสติแล้วเอาสิ่งนั้นมาพิจารณากัน ทำไมมันเป็นอย่างนี้? มันเป็นวิบากกรรม ถ้าเป็นวิบากกรรม เราทำใจยอมรับมันแล้วพยายามแก้ไขไป มันจะทำสิ่งนั้นไปได้

นี่พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะหน้าในสังคม ในชีวิตประจำวันนะ แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมา ที่มันจะรื้อค้นกิเลสขึ้นมา มันจะมีเทคนิคของมัน เราจะตามทวงหนี้ เราไม่เจอเจ้าหนี้ เราจะไปทวงจากใคร เราจะช่วยเหลือหัวใจของเรา เราจะเอาหัวใจเราพ้นจากทุกข์ เราไม่รู้จักใจของเรา เราไม่รู้จักสถานที่ตั้งของใจของเรา เราจะไปช่วยเหลือมันได้อย่างไร? มันโดนเขาทำลายอยู่ มันโดนเขากดขี่ข่มเหงอยู่ แล้วก็บอกว่าดูจิตๆ ดูมันสบายๆ ไป

สบายๆ มันเอาเงินไปใช้คนอื่น เอาเงินไปให้กับพวกพาลชน แล้วบอกว่าใช้หนี้กรรม มันเป็นไปไม่ได้! สิ่งนี้เป็นไปได้ มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใช้หนี้กรรมของเรา ใช้หนี้ของเรา ใช้หนี้หัวใจ หัวใจมันเป็นหนี้ มันเป็นอวิชชา มันมีพญามารครอบงำ มันถึงมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ นี่เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันได้อริยทรัพย์ มันได้ทรัพย์สมบัติขึ้นมา แต่มันยังต้องตายต้องเกิดใช่ไหม? เราเกิดมาในพุทธศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ ขนาดนี้มีครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติ เรายังนอนใจอยู่ นี่เวลาเราศึกษากัน เห็นไหม ทำไมเขาต้องไปเรียนเมืองนอกล่ะ? เขาต้องเอาวิชาการของเขา วิชาการอันไหนดีมีคุณค่า เขาจะไปเรียนมาเพื่อได้ใบประกาศมาเพื่อประกอบสัมมาอาชีพของเขา

ในการประพฤติปฏิบัติของเรามีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงที่ท่านคอยชี้นำเรา นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านชี้นำเรา ท่านคอยบอกเรา แล้วสิ่งนี้มันจะอยู่กับเราตลอดไปไหม? สถาบันการศึกษามันอยู่กับเราตลอดไป แต่วิชาการในสถาบันนั้นมันมีขึ้นมีลง ครูบาอาจารย์ของเราก็ชีวิตหนึ่ง ชีวิตหนึ่งนะ หลวงปู่มั่นก็ตายไปแล้ว ครูบาอาจารย์เราก็ชราภาพกันเต็มทีแล้ว แล้วเรายังนอนใจอยู่กับตัวเราเอง เราเป็นคนประมาทชีวิตขนาดไหน? มันคิดนะ

นี่เราเป็นชาวพุทธ บุญกุศล บุญที่เราทำมาก็เป็นบุญอันหนึ่ง แล้วเป็นบุญกับตัวเราเอง เป็นปัญญากับตัวเราเอง เป็นสิ่งที่เป็นชีวิตของเราเอง เราจะมีสติไหม? เราจะรักษาชีวิตของเราอย่างไร? เราจะดูแลชีวิตเราอย่างไร? เราดูแลเองนะ แล้วเรารักษาของเรา เพื่อประโยชน์ของเรา

นี่บุญจากข้างนอก เห็นไหม บุญจากข้างนอกคือการทำบุญกุศล เขาเรียกอามิส บุญจากหัวใจ บุญจากข้างใน บุญจากการประพฤติปฏิบัติ บุญของเราได้สัมผัสศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญา อย่างนี้เป็นธรรมที่มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปรื้อค้นมาแล้ววางหลักการไว้ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็มีอยู่ แต่ไม่มีใครรื้อค้น ไม่มีใครวางหลักการไว้ มันก็จับพลัดจับผลู มันก็เหมือนกับคนไม่มีต้นไม่มีปลาย คนไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ มันก็จับพลัดจับผลูก็ว่ากันไปตามเกม

แต่ในปัจจุบันนี้พุทธศาสนาก็มีอยู่ พระไตรปิฎกก็มีอยู่ ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ สิ่งนี้พิสูจน์ได้ ทำได้ เพื่อประโยชน์กับเรานะ เราเกิดมาทุกอย่างพร้อมหมดเลย เพียงแต่ว่าเราหลับตาไง เหมือนของมีอยู่เราไม่สนใจ มันก็เหมือนของไม่มี ธรรมะมีอยู่ ครูบาอาจารย์มีอยู่ แต่เราไม่สนใจก็เหมือนไม่มี มีแต่เรานี่แหละ มีแต่ชีวิตนี่แหละ มีแต่ทุกข์นี่แหละ มีแต่แสวงหานี่แหละ

โลกนี้ก็มีเรา เราก็เราทุกข์ไง ถ้ามีธรรมะโลกเรามันก็จะดีขึ้น หัวใจเราจะมีที่พึ่งอาศัยนะ เอวัง